เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีเกิดดราม่าผู้บริโภครายหนึ่งเติมน้ำมันจำนวน 5 ลิตร และพบว่าปริมาณขาดหายไป 50 มิลลิลิตร ว่ากรมขอชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นว่าตามกฎหมายได้กำหนดอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ไม่เกิน 1% ซึ่งเป็นหลักการและมาตรฐานเดียวกันกับที่ต่างประเทศใช้ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้น น้ำมันที่ขาดไป ไม่ถือว่าผิดปกติ และยังอยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนด แต่กรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเป็นประจำอยู่แล้ว และหากพบว่าสถานีบริการน้ำมันใด มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด อยู่ในช่วงที่ขาดต่อเนื่อง ก็จะจับตามองเป็นพิเศษ และต้องตรวจสอบว่าเป็นการจงใจหรือไม่ และถ้าจงใจ ก็มีอำนาจที่จะผูกบัตรห้ามใช้ จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไข
นายวัฒนศักย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กรมได้มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดตรวจสอบไปแล้วจำนวน 1,400 ปั๊ม จำนวน 1.8 แสนหัวจ่าย พบเกินค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดจำนวน 29 หัวจ่าย จาก 14 สถานีบริการน้ำมัน และต่ำกว่าค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 11 หัวจ่าย จาก 5 สถานีบริการน้ำมัน หรือคิดเป็น 0.006% ของจำนวนปั๊มที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งได้ทำการผูกบัตรห้ามใช้ และได้ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว โดยโทษกรณีใช้มาตรวัดที่ไม่ถูกต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผลตรวจสอบ พบว่ามีการดัดแปลงมาตรวัด มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนหัวจ่ายที่จ่ายน้ำมันเกิน ได้สั่งการให้แก้ไขให้ถูกต้องแล้ว
นายวัฒนศักย์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน กรมได้ประสานผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ให้เข้มงวดกวดขันบริษัทจำหน่ายน้ำมัน หรือปั๊มน้ำมันที่เป็นเครือข่าย หรือปั๊มแฟรนไชส์ ในเรื่องการเติมน้ำมันเต็มลิตร หากพบว่ารายใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อเป็นการดูแลผู้บริโภคในการเติมน้ำมัน
นายวัฒนศักย์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ กรมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สายตรวจ ออกตรวจสอบมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานีบริการ ตามเส้นทางการเดินรถที่เป็นรอยต่อของจังหวัดกรุงเทพฯและปริมณฑล มุ่งหน้าออกสู่ต่างจังหวัด และในเขตพื้นที่จังหวัดต่างๆ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพราะจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยว ทั้งโดยพาหนะส่วนตัว และรถสาธารณะเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องใช้บริการสถานีบริการน้ำมันเพื่อเติมเชื้อเพลิงก่อนเดินทาง เพื่อกำกับดูแลและตรวจสอบความถูกต้องมาตรวัด สร้างความเชื่อมั่นใจให้กับประชาชนว่าได้รับน้ำมันเต็มลิตร ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
นายวัฒนศักย์ กล่าวต่อว่า สำหรับประชาชน ก่อนการเติมน้ำมัน ขอให้สังเกต ดังนี้ 1.ป้ายราคาน้ำมัน/ลิตร ที่ระบุหน้าสถานีบริการน้ำมันตรงกับตู้จ่ายน้ำมัน 2.ตู้จ่ายน้ำมันตามสถานีบริการต้องมีสติ๊กเกอร์วงกลมของกรมการค้าภายใน (มีรูปครุฑสีแดง/ระบุว่าตรวจสอบแล้ว/แสดงปี พ.ศ. ปัจจุบันอยู่ด้านล่าง) หากมีสติ๊กเกอร์ดังกล่าวติดอยู่แสดงว่าได้มีการตรวจสอบแล้ว 3.ก่อนเติมยอดขายและจำนวนลิตร ต้องเป็นเลขศูนย์ 4.เมื่อเติมเสร็จให้ดูยอดขายและจำนวนลิตรให้ถูกต้อง โดยหากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเติมน้ำมัน สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ กรมจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
ด้าน ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดตัวโครงการ พาณิชย์สั่งลุย!…ลดราคา New Year Mega Sale 2024” ณ ฮอลล์ 9-10 ศูนย์การแสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นประธาน ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการจำหน่ายสินค้าและบริการลดราคา และตรวจการแสดงราคากระเช้าของขวัญ ณ ห้างแม็คโคร นครอินทร์ ห้างโลตัส รัตนาธิเบศร์ และห้างเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน พบว่า ทุกห้างได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการลดราคาสินค้ามอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ซึ่งมีส่วนช่วยให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเป็นไปอย่างคึกคักมากขึ้น
ภายใต้โครงการ พาณิชย์สั่งลุย!…ลดราคา New Year Mega Sale 2024 ผู้ประกอบการ 386 ราย 44,801 สาขา พร้อมใจกันนำสินค้าและบริการมาลดราคาสูงสุดถึง 82% ตั้งแต่ 15 ธ.ค.66 ถึง 15 ม.ค.67 รวม 32 วัน โดยสินค้าและบริการที่ลดราคาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม รวม 41,267 รายการ
กลุ่มที่ 1 สินค้าอุปโภคบริโภค มี 17 หมวด ได้แก่ อาหารสด อาหารแปรรูป ข้าวสาร เครื่องดื่ม ขนม/ไอศกรีม เครื่องปรุงรส ของใช้ประจำวัน เครื่องแต่งกาย/อุปกรณ์กีฬา เครื่องครัว อุปกรณ์สำนักงาน/การเรียนรู้ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ช่าง/ตกแต่ง ยาและเวชภัณฑ์ อาหารสัตว์เลี้ยง แม่และเด็ก เครื่องสำอาง และสินค้าทั่วไปจากผู้ประกอบการ SMEs รวม 40,084 รายการ ลดสูงสุด 82%
กลุ่มที่ 2 บริการ มี 11 หมวด ได้แก่ ที่พัก/สปา อสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร/กาแฟ ประกันภัย บริการทางการแพทย์ การเดินทาง ซ่อมบำรุงรถยนต์ บัตรเครดิต อินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์ แฟรนไชส์ ขนส่ง/โลจิสติกส์ รวม 1,183 รายการ ลดสูงสุด 75%
และกลุ่มที่ 3 ค้าออนไลน์ มี 2 หมวด ได้แก่ แพลตฟอร์มจำหน่ายอาหาร และแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้า ซึ่งเป็นการแจกส่วนลดที่ใช้ในการสั่งอาหารหรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 13 ล้านรายการ ลดสูงสุด 80% การจัดงานครั้งนี้คาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพให้แก่พี่น้องประชาชนสูงถึง 4,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า 12,000 ล้านบาท สำหรับงานเปิดตัวโครงการ กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้น ณ ฮอลล์ 9-10 ศูนย์การแสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 20-24 ธันวาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.